ก็มันไม่มีอะไรต้องเสียนี่

ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่เล่นเทนนิสโดยการปักหลักอยู่ที่เส้นฐานหลังสุดของสนามเสมอ และหวดลูกสุดแรงเกิด แต่มันกลับเป็นวิธีที่ทำให้ผมแพ้ทุกทีซิน่า วันหนึ่งน้องชายผมจึงได้เสนอให้ผมลองยืนเล่นในตำแหน่งใกล้ตาข่ายมากขึ้น และออกแรงท่าทางแข็งขันกว่าที่เคย. แน่นอนล่ะ ผมปฏิเสธ เพราะว่าผมเล่นใกล้ตาข่ายไม่เก่งเลย "โธ่ พี่ก็" น้องผมพูด "ไม่มีอะไรเสียแล้วน่า รู้ไหม...สิ่งที่สำคัญที่สุดในเกมกีฬาก็คือเลิกเล่นเกมที่มีแต่แพ้ซะ ถึงพี่จะไม่เก่งการตีใกล้ตาข่าย...แต่การตีไกลตาข่ายของพี่ก็แพ้ไม่เป็นท่า ทุกที พี่จะเล่นแบบเดิมซ้ำๆ อยู่ทำไม่เล่า"

ช่างเป็นคำแนะนำที่เต็มไปด้วยเหตุผลเสียนี่กระไร ผมจึงได้ลองเปลี่ยนวิธีการเล่นใหม่ น่าแปลกที่ฝีมือผมพัฒนาขึ้น เกมระหว่างผมกับน้องก็ตื่นเต้นและสนุกสนานขึ้นกว่าเดิมอีกอักโข เมื่อผมมองย้อนกลับไปในหน้าที่การงานของตัวเอง ผมเพิ่งได้คิดว่า "การรู้จักเลิกเล่นเกมที่มีแต่แพ้" ไม่ได้ไว้ใช้แค่ในเกมกีฬาแล้วล่ะ หากในชีวิตประจำวันก็สำคัญไม่น้อย

หลายครั้งที่คนไข้พากันมาหาผมเพราะเกิดจากปัญหาที่พวกเค้าทำตัวเองทั้งนั้น เช่น รู้สึกหัวใจผิดปกติ จากการกินอาหารแบบใดแบบหนึ่ง เมื่อรู้ตัวแล้วว่าการกินแบบนั้นทำให้รู้สึกไม่สบาย แต่ก็ยังคงกินต่อไป จากการวินิจฉัยของผม ผมขอเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า "เป็นเกมที่มีแต่แพ้" พวกเราทุกคนต่างก็กำลังเล่นเกมที่มีแต่แพ้นี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นจากการกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ... การอดนอน... การทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่พัก...หรือการออกกำลังที่ไม่เพียงพอ

....การไม่รู้จักบริหารเวลา...ก็เป็นเกมส์ชนิดหนึ่ง ที่เห็นๆ อยู่ว่ามีแต่แพ้ เช่น การผลัดวันประกันพรุ่ง แล้วต้องมาเร่งๆ งาน เพื่อให้ทันการประชุมที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่นาที หรือในทางกลับกัน การทำงานมากเกินไปจนเวลาในแต่ละวันไม่เคยพอเพียง ก็เป็นการทำงานที่ก่อให้เกิดความเครียดทั้งนั้น น่าแปลกที่ผู้คนต่างก็แบกรับเอาพฤติกรรมแบบนี้ไว้กับตัวทั้งนั้น

ผมขอแบ่งประเภทผู้คนที่กำลังเป็นผู้แพ้เป็น :


- พวกสมบูรณ์แบบ (ทำงานทุกอย่างอย่างพิถีพิถัน)
- พวกบ้างาน (คือคนจำพวกอยู่เพื่องานแล้วก็มานั่งสงสัยว่าเอ.. ชีวิตส่วนตัวฉันหายไปไหนเนี่ย)
- คนที่มีบุกคลิกภาพแบบเอาหน้า (ก้าวร้าว ชอบการแข่งขัน และความรวดเร็ว)
- นักประชาสงเคราะห์ (คอยแต่ดูแล สนใจเรื่องของคนอื่น จนละเลยตัวเองไป)
- นักบุญผู้ที่ไม่เคยปฏิเสธใครรู้จักแต่การประนีประนอมเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับใครๆ)

ทำอย่างไร คนเราถึงจะเลิกเล่นเกมส์ที่มีแต่แพ้แบบนี้

ผมมีเคล็ดลับ 5 ประการมาให้ ดังนี้

1. ตั้งข้อจำกัด...
อย่าให้การงานของคุณเข้ามาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของคุณถึงที่บ้าน รู้จักห้ามใจตัวเอง ขีดเส้นแบ่งเวลางานและชีวิตส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน (หากคุณเป็นพวกบ้างาน จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด)

2. รู้จักการหยุดพัก...
หลายคนคิดว่าพวกเค้ายังคงสามารถผลิตงานดีๆ ออกมาได้ โดยการทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ต้องพัก ผิดซะแล้วล่ะ! จากการวิจัย คนเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการทำงานทุก 2 ชั่วโมงและหยุดพักสัก 20 นาที มิใช่จากการทำงานติดๆ กันหลายชั่วโมงจนร่างกายเริ่มล้า (สังเกตจากการที่คนเราหาว, เสียสมาธิ, และเริ่มทำงานผิดๆ ถูกๆ ) แล้วกระตุ้นร่างกายขึ้นมาใหม่ด้วยกาแฟ การพักผ่อนที่ดีโดยการงีบหลับ, ลุกขึ้นเดิน, สวดมนต์, เหม่อลอย, พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน,ฟังเพลง, หรือทำงานที่ใช้สมาธิน้อยจะทำให้คนเรามีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
3. รู้จักให้เวลากับตัวเอง....
การให้เวลากับตัวเองเพื่อพักผ่อน หรือทำในสิ่งที่เราอยากจะทำไม่ใช่สิ่งที่ผิด หรือเห็นแก่ตัว คนเรามักจะอ้างว่าไม่มีเวลา หากนั่นก็เป็นเพราะว่าตัวเองไม่เคยให้เวลากับตัวเองต่างหาก

4. การจัดสรรเงิน...
ชีวิตที่มีหนี้สินก็ถือว่าเป็นเกมส์ที่พ่ายแพ้อย่างหนึ่ง จงเปลี่ยนความคิดในการใช้เงินเถอะ ถามตัวเองว่าสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตเพียงพอหรือยัง อนุญาตให้ฟุ่มเฟือยได้ในบางครั้ง แต่เราก็ต้องมีสติที่จะบอกตัวเองว่า "พอแล้วล่ะ"

5. รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง...
คนที่ทุ่มเทอุทิศให้กับงาน จนกระทั่งนำเอาลักษณะที่ทำงานติดตัวกลับบ้านไปด้วย ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย "งานคือสิ่งที่คุณทำไม่ใช่สิ่งที่คุณเป็น" อย่าเอาลักษณะที่ทำงานมาปะปนกับตัวตนของตัวเอง ความเครียดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากหลายครั้งความเครียดเหล่านั้นกลับเกิดจากตัวมนุษย์ที่ก่อขึ้นมาเอง เราเพียงแค่หยุดพฤติกรรมที่เห็นๆ อยู่ว่าทำให้เราแย่...เราแพ้นี่ซะ แล้วเลือกทางปฏิบัติใหม่

........ ก็มันไม่มีอะไรต้องเสียนี่........